อยากทำธุรกิจให้ยั่งยืน แต่ยังสับสนกับคำว่า Carbon Footprint, LCA หรือมาตรฐาน ISO ต่าง ๆ ใช่ไหม? บทความนี้จะช่วยคลายทุกข้อสงสัยด้วยคำถาม-คำตอบที่เข้าใจง่าย ครอบคลุมตั้งแต่การเลือกขอบเขต Cradle to Grave, การคำนวณบรรจุภัณฑ์หลายชั้น ไปจนถึงการทำ ISO 14067 สำหรับผลิตภัณฑ์ พร้อมเคล็ดลับที่คุณนำไปใช้ได้จริง อ่านจบแล้วมั่นใจว่าคุณจะเข้าใจภาพรวมและลงมือทำได้อย่างถูกต้องตามมาตรฐานสากล

- Cradle to Grave ต่างจาก LCA อย่างไร?
Cradle to Grave คือ “ขอบเขตของ LCA” แบบหนึ่ง
ซึ่งเริ่มตั้งแต่การได้มาของวัตถุดิบ (Cradle) ไปจนถึงการกำจัดหรือจบวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ (Grave)
ส่วน LCA (Life Cycle Assessment) คือ “วิธีการประเมินผลกระทบตลอดวงจรชีวิต” ตาม ISO 14040/14044 ที่สามารถกำหนดขอบเขตได้หลายแบบ เช่น
- Cradle to Gate
- Gate to Gate
- Cradle to Grave
- Cradle to Cradle
- หากโรงงานของเราไม่ได้ผลิตสินค้าเพื่อจำหน่ายถึงผู้บริโภคโดยตรง (ไม่ใช่ end product) การกำหนดขอบเขตควรใช้แบบ B2B ใช่หรือไม่?
หากโรงงานผลิตสินค้ากึ่งสำเร็จรูปหรือชิ้นส่วนที่ส่งต่อให้ลูกค้าเพื่อไปผลิตต่อ (ไม่ใช่ end product)
การจัดทำ LCA/CFP ควรกำหนดขอบเขตเป็น B2B (Cradle to Gate) เพราะ
- B2B เหมาะกับสินค้า “ไม่จบวงจรชีวิตที่เรา”
- เราไม่สามารถควบคุมหรือรู้ข้อมูลการใช้–การกำจัดของ end user
- สอดคล้องตามแนวทางของ ISO 14067 สำหรับสินค้ากึ่งสำเร็จรูป
- หากไม่มีค่า EF สำหรับส่วนประกอบนั้นเลย จะใช้ข้อมูลจากแหล่งใดได้บ้าง? แล้ว Packaging หลายชั้นควรคำนวณการปล่อยก๊าซอย่างไร?
หากไม่มีค่า EF สำหรับ Raw Material ซึ่งเป็นส่วนประกอบของบรรจุภัณฑ์นั้นเลย จะใช้ข้อมูลจากแหล่งใดได้บ้าง?
สามารถใช้แหล่งข้อมูลตามลำดับความเหมาะสมดังนี้:
- Secondary database (แนะนำที่สุด) – ecoinvent, GaBi, ELCD, ICE Database, etc.
- Literature / งานวิจัยที่เชื่อถือได้ - เช่น งานวิชาการที่มี LCA-compliant boundary, peer-reviewed
- ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบที่มี Environmental Product Declaration (EPD) เช่น EPD ของเหล็ก, พลาสติก, กระดาษ ฯลฯ
- Proxy data (ข้อมูลเทียบเคียง)
- หากไม่มี EF ตรงตัว ให้เลือกวัสดุที่ “คุณสมบัติใกล้เคียงที่สุด” และระบุสมมติฐานชัดเจน เช่น
ไม่มี EF ของ HDPE-grade พิเศษ → ใช้ EF HDPE ทั่วไปแทน
แล้ว Packaging ที่มีหลายองค์ประกอบควรคำนวณการปล่อยก๊าซอย่างไร
หลักการง่าย ๆ:
คำนวณแยกแต่ละชั้น → แล้วนำมารวมกัน
แต่ละชั้นให้ทำแบบนี้:
- ระบุ ชนิดวัสดุ (เช่น กระดาษ, พลาสติก, ฟอยล์, PE, PP)
- ระบุ น้ำหนักของแต่ละชั้น (g หรือ kg)
- ใช้ EF ของวัสดุนั้นตาม database
- คำนวณการปล่อยของแต่ละชั้น
- รวมผลทั้งหมดเป็น การปล่อย GHG จากบรรจุภัณฑ์ทั้งหมดต่อหนึ่งหน่วยผลิตภัณฑ์
ตัวอย่างสั้น ๆ Packaging มี 3 ชั้น
- ชั้น 1: กระดาษ 30 g (EF = 1.1 kgCO₂e/kg)
- ชั้น 2: PE 5 g (EF = 2.0 kgCO₂e/kg)
- ชั้น 3: ฟอยล์อลูมิเนียม 1 g (EF = 10 kgCO₂e/kg)
ผลรวม = ผลกระทบของแต่ละชั้น
หากชั้นใดเป็น Composite (เช่น PET/AL/PE laminate)
- ต้องแยกสัดส่วน % โดยน้ำหนัก หรือ
- ใช้ EF ของ material กับค่าเฉลี่ยแบบ weighted average
- หรือใช้ EF ของ Laminate packaging จากแหล่งที่น่าเชื่อถือได้ (หากมี)
- หากองค์กรมีการจัดทำ ISO 14064 แล้ว ต้องการขยายไปสู่ระดับผลิตภัณฑ์ ต้องเริ่มใหม่ที่ ISO 14067 หรือไม่?
ต้องทำ ISO 14067 แยกใหม่ เพราะ ISO 14064-1 เป็นมาตรฐานระดับองค์กร (Organization-level GHG Inventory) ส่วน ISO 14067 เป็นมาตรฐานคำนวณ Carbon Footprint ระดับผลิตภัณฑ์ (Product-level)
- ถึงแม้องค์กรจะมีข้อมูล GHG จาก ISO 14064 อยู่แล้ว แต่:
- ขอบเขตการคำนวณไม่เหมือนกัน
- หน่วยฟังก์ชัน (Functional Unit) ต่างกัน
- ข้อมูลกิจกรรมของผลิตภัณฑ์ต้องรายละเอียดลึกกว่า
- ต้องทำ LCA ตาม ISO 14040/14044 ร่วมด้วย
- ต้องจัดทำระบบข้อมูลเฉพาะของผลิตภัณฑ์ครบทั้ง upstream–core–downstream
สรุป:
- มี ISO 14064 แล้ว → ไม่สามารถนำมาใช้แทน ISO 14067 ได้
- แต่ข้อมูลพลังงาน, เชื้อเพลิง และกิจกรรมในโรงงานที่จัดเก็บไว้แล้ว สามารถนำมาช่วย “เป็นฐานข้อมูล” ต่อยอดให้การทำ ISO 14067 ง่ายขึ้น
- หากโรงงานมีหลายผลิตภัณฑ์ การเลือกวิธีการปันส่วนจำเป็นต้องใช้วิธีเดียวกันทั้งหมดหรือไม่?
หลักการสำคัญตามมาตรฐาน ISO 14044/14067 กำหนดว่า
- การเลือกวิธีปันส่วนต้อง สอดคล้องกับลักษณะของกระบวนการ
- ต้อง มีการอธิบายเหตุผล ว่าทำไมเลือกวิธีนั้น
- ต้อง ใช้วิธีเดิมอย่างสม่ำเสมอสำหรับผลิตภัณฑ์เดียวกัน แต่
- ไม่บังคับ ให้ทุกผลิตภัณฑ์ใช้วิธีเดียวกันทั้งหมด
สรุป ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีปันส่วนแบบเดียวกันสำหรับทุกผลิตภัณฑ์ เลือกวิธีที่เหมาะกับแต่ละกระบวนการได้ แต่ต้อง
- มีเหตุผลรองรับ
- เปิดเผยในรายงาน
- ใช้สม่ำเสมอภายในผลิตภัณฑ์เดียวกัน
- ผลการรับรอง Carbon Footprint ตาม ISO มีอายุเท่าไหร่?
โดยทั่วไปผลการรับรองมีอายุประมาณ 3 ปี
- ค่าใช้จ่ายในการ ตรวจประเมิน ISO 14067 อยู่ที่เท่าไหร่?
ค่าตรวจประเมินตามมาตรฐาน ISO 14067 จะขึ้นอยู่กับจำนวนวันตรวจ, จำนวนผลิตภัณฑ์, และความซับซ้อนของกระบวนการ ทั้งนี้ค่าใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้นหากมีหลายโรงงาน ต้องลงพื้นที่หลายวัน หรือมีกระบวนการผลิตที่ซับซ้อนมากขึ้น
- จะทราบได้อย่างไรว่าในรูปแบบ B2C ผู้บริโภคมีพฤติกรรมการใช้งานและการรีไซเคิลอย่างไร?
ในรูปแบบ B2C ไม่สามารถรู้พฤติกรรมผู้บริโภคแบบเจาะจงได้ จึงต้องใช้รายละเอียดที่ระบุใน PCR, ค่ามาตรฐานอ้างอิง, สถิติประเทศ, ฐานข้อมูล LCA, งานวิจัย และกำหนดสมมติฐานที่โปร่งใส เพื่อระบุการใช้งานและการกำจัดผลิตภัณฑ์หลังใช้งานแทนพฤติกรรมของผู้บริโภคจริง
เกี่ยวกับ SGS
SGS คือ บริษัทชั้นนำระดับโลกด้านการทดสอบ การตรวจสอบ และการรับรองระบบ เราดำเนินงานผ่านเครือข่ายที่ประกอบด้วยห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์และสถานประกอบการกว่า 2,500 แห่ง ใน 115 ประเทศ โดยได้รับการสนับสนุนจากทีมงานมืออาชีพที่มีความมุ่งมั่นกว่า 99,500 คน ด้วยประสบการณ์กว่า 145 ปีแห่งความเป็นเลิศในการให้บริการ เราผสานความแม่นยำและความเที่ยงตรงที่เป็นเอกลักษณ์ของบริษัทสวิส เพื่อช่วยให้องค์กรต่างๆ บรรลุมาตรฐานสูงสุดด้านคุณภาพ การปฏิบัติตามข้อกำหนด และความยั่งยืน
คำมั่นสัญญาของแบรนด์เรา – when you need to be sure – สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในความน่าเชื่อถือ ความซื่อสัตย์ และความไว้วางใจ ซึ่งช่วยให้ธุรกิจดำเนินไปได้อย่างมั่นใจ เราภูมิใจนำเสนอบริการจากผู้เชี่ยวชาญของเราภายใต้ชื่อ SGS และแบรนด์เฉพาะทางที่ได้รับความไว้วางใจ เช่น Brightsight, Bluesign, Maine Pointe และ Nutrasource
SGS เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ SIX Swiss Exchange ภายใต้สัญลักษณ์ SGSN (ISIN CH1256740924, Reuters SGSN.S, Bloomberg SGSN:SW)
238 TRR Tower, 19th-21st Floor, Naradhiwas Rajanagarindra Road,
Chong Nonsi, Yannawa, 10120,
กรุงเทพ, ประเทศไทย



